วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ภาษาไทยวันคะมำ

A: กิง เข้า เยง ยาง อ๊า ตะ เอง
B: กินแล้ว กำลังทำงาน ??
A: มะ เนื่อย หรา เด๊ว มะ นะ ปะ จื้อ นม เย๊ง ก่องB: ???
A: มา ละ ช่วง เน๊ อยาก กิง ตะ หนม ตะ เอง แพ๊บ น๊า เพิ่ล มา
B: ฒ฿.๗ธฐ็ษฆณฮ ฑฺฒฑืฮธ"ณฒษ ฏุฮ๋ษฯ"ฒ๋ณุฌณ์ฮ. ฮ๊ฐ็ษ
A: พิม ราย มา อ๊า เข้า อ่าง มะ ออก
B: อารมณ์เดียวกับชั้นเมื่อสักครู่นี้แหละ
??????????
นี่คือบทสนทนาของฉันกับเพื่อนที่สนทนาผ่านทางโปรแกรมสนทนาในอินเทอร์เน็ตที่ชื่อว่า MSN ระหว่างคนวัยใกล้ 30 สองคน
อ่านเผินๆ ฉันนึกว่าฉันกำลังคุยกับเด็กพิการทางสมอง
แต่ไหนแต่ไรมา ฉันจะรู้สึกหงุดหงิด กระฟัดกระเฟียด ไม่อยากสนทนา อารมณ์ไม่สู้จะดีนัก เมื่อเจอการใช้ภาษาไทยแบบนี้ อยากเหลือเกิน อยากเข้าไปจับมือแล้วว่าถามตรงๆว่า "เขียนภาษาอะไรมาวะครับเฮ๊ย"
การแปลงภาษา หลายคนอาจมองว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ เป็นแค่แฟชั่นประเดี่ยวประด๋าว เดี๋ยวก็เลิกกันไปเอง แต่ถ้ามองย้อนกลับไปจนถึง ณ วันนี้ ฉันเองคนหนึ่งละ ที่ยังไม่เห็นว่าจะมีท่าทีเลิกทำให้ภาษาไทยวิบัติลงไปเลย
รังแต่จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างกว้างขวาง ถ้วนทั่วแทบทุกหัวระแหงแบบไม่น้อยหน้ากัน
เพราะเห็นว่า ไม่เป็นไรกระมัง จนมันค่อยๆ กลืนความถูกต้องของการใช้ภาษาไทยไป
สังเกตง่ายๆ ยิ่งถ้าเราอยู่ในแวดวงการศึกษาด้วยแล้ว จะพบได้เลยว่าปัจจุบันปัญหาการอ่านออก เขียนได้ มีไม่น้อย และที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม คือ ปัญหา อ่านออก เขียนได้ แต่เขียนไม่ถูก และไม่อยากจะเขียนถูก เพียงเพราะคิดว่าที่ทำอยู่ ที่เขียนอยู่มันน่ารัก มันคือความแปลก เท่ มีเสน่ห์ เก๋ไก๋โก้หร่าน
"คุณค่าที่ดิฉันคู่ควร"
ยกตัวอย่างเช่น คำว่า"บ่น" นักเลงภาษาจะสามารถหาคำมาขยายความหมายคำนี้ได้อย่างมากมาย เช่น บ่นกระปอดกระแปด บ่นเป็นหมีกินผึ้ง บ่นงึมงำ ไปจนถึงบ่นพึมพำ เป็นต้น แต่สมัยนี้ บ่นสุดๆ คือจบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวก วีเจ ดีเจ นักจัดรายการทั้งทางวิทยุ โทรทัศน์ เคเบิ้ลต่างๆ ที่พรั่งพรูแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ทำให้การคัดกรองผู้ใช้ภาษาไทยในฐานะผู้ดำเนินรายการไร้ซึ่งประสิทธิภาพ จนถึงขั้นไม่ต้องกรองเรื่องภาษาหรอก สวย หล่อ พูดได้พอ
ทำให้เดี๋ยวนี้ เรือ ก็กลายเป็น เลือ ร้อน ก็กลายเป็น ล้อน ร่มรื่น ก็กลายเป็น ล่มลื่น(ความหมายห่างกันไกลโขเชียว)
อย่ามองว่าเรื่องผิดปกติเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
เพราะแม้ ขโมยเงินแค่ 2 บาท อย่างไรก็ถือว่าผิด
ก็ได้แต่บ่นกระปอดกระแปด เป็นบ้าใบ้ และก็หงุดหงิดหัวใจอยู่คนเดียวตามประสา
ฤาจะสิ้นยุคภาษาไทยวันละคำ...เหลือเพียงภาษาไทยวันคะมำแล้วกระมัง

พืดอีกก็ถืกอีก...คุณว่าอย่างนั้นไหมล่ะ

ความสุข

ทุกวันนี้สิ่งที่เรียกว่า "ความสุข" อยู่ที่ไหน?
หลายคนยังถามตัวเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่า "ในแต่ละวัน ฉันมีความสุขหรือเปล่านะ?"
คำตอบของใครเป็นอย่างไรฉันไม่ใคร่จะรู้ได้ แต่อาจจะดูน่าหมั่นไส้อยู่ในที ที่ฉันสามารถทำหน้าระรื่นบอกว่า ความสุขของฉันหาได้อย่างง่ายดาย เพราะความสุขของฉัยมันอยู่ที่ "กลิ่น" เหล่านี้ ?
"ง่ายดายเหลือเกิน"
ความสุขของฉันอยู่ในกลิ่นหอมหวานละมุนของ ช็อกโกแลตร้อน ทุกครั้งที่ได้กลิ่น ฉันจะรู้สึกมีความสุข ผ่อนคลาย และสดชื่นกระปรี่กระเปร่า
ความสุขของฉันอยู่ที่กลิ่นแดด กลิ่นแดดเป็นอย่างไรหนอ? มันคือกลิ่นของผ้าที่เราเก็บ เมื่อเราสูดดม กลิ่นความสะอาดอ่อนๆ ของแสงแดดที่แผดเผาไปเมื่อครู่มันจะทำให้ฉันรู้สึกสดชื่น สว่างสไว



ความสุขของฉันอยู่ที่กลิ่นหญ้า? กลิ่นใบไม้ใบหญ้ายามฝนตกโปรยปราย พัดพาไปอุ่นระอุขึ้นมาโชยกระทบจมูก เป็นกลิ่นที่หอมรัญจวนใจยิ่งนัก
ความสุขของฉันอยู่ที่กลิ่นข้าวหุงสุกใหม่ๆ ที่หอมอบอวลฟุ้งกระจายเมื่อเราเผยฝาหม้อขึ้นพร้อมไอร้อนที่พวยพุ่งออกมา
ความสุขของฉันอยู่ที่กลิ่นไข่เจียวร้อนๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นอาหารชาติใดในโลกที่ว่าเลิศหล้า ก็ต้องแพ้พ่ายให้แก่กลิ่นไข่เจียวฟู เหลือง กรอบในกระทะหลังบ้าน
นี่คือความสุขเล็กๆน้อยๆที่ฉันหาได้จากชีวิตประจำวัน แค่ "กลิ่น" ฉันก็มีความสุขได้ แล้วความสุขของคุณล่ะ อยู่ที่ไหน

"ไฉนเลยเราต้องไขว่คว้าหาความสุขจากปลายฟ้า ทั้งที่มันอยู่แค่ยอดหญ้าตรงปลายเท้าเรานี่เอง"
ทำงานให้หนัก ใช้ชีวิตให้สนุก และมีความสุขทุกคน